วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

ทำไมต้องลงทุนในหุ้น

       ทำไมต้องลงทุนในตราสารทางการเงิน บางคนอาจจะมีความเห็นว่าเอาเงินไปซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร หรือลงทุนอสังหาริมทรัพย์ไม่ดีกว่าเหรอ
        การซื้อที่ดินนั้นนานวันเข้ามูลค่าของที่ดินโดยส่วนใหญ่จะต้องเพิ่มขึ้นเนื่องจากพื้นที่ที่ดินมีเท่าเดิมแต่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความต้องการจึงต้องมีมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปริมาณของมีเท่าเดิมราคาก็ต้องขึ้น แต่ก็มียกเว้นเช่นที่ดินที่โดนน้ำท่วมหรือประสบเหตุที่ทำให้ไม่น่าอยู่อาศัยหรือใช้ประโยชน์ได้ เช่น ไฟฟ้าไม่เข้า น้ำไม่ไหล การสาธารณูปโภคเข้าไม่ถึงเป็นต้น
        ถ้าเราจะลองทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดูบ้าง ทำอพาร์ทเมนท์ให้คนเช่าก็ดีนะ ถ้าผมมีเงินมาก ๆ ผมยังเคยคิดว่าจะทำเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทำอพาร์ทเมนท์ให้คนเช่า คนที่ทำธุรกิจก็ต้องลงแรงอยู่บ้าง เช่นหาคนมาเช่า เวลาอพาร์ทเมนท์หรือบ้านที่นักลงทุนปลูกเพื่อให้คนเช่า หรือตึกแถว พื้นที่ตลาดที่ลงทุนทำขึ้นมาเพื่อหวังกินค่าเช่ามีปัญหาเจ้าของก็ต้องมาดูแล เจ้าของหรือนักลงทุนก็ต้องเสียเวลามาบริหารอยู่ดี มาแก้ปัญหาท่อตันบ้างตามอพาร์ทเมนท์ ตึกแถวไม่สะอาดบ้าง ตลาดสกปรกบ้าง โดยรวมแล้วเจ้าของก็ต้องมาดูแลแก้ปัญหา มันเหมือนกับว่าเจ้าของเป็นผู้รับใช้ของผู้เช่าอย่างไรก็ไม่รู้ แม้ว่านักลงทุนหรือเจ้าของจะลงทุนจ้างผู้จัดการมาบริหารแทนตน นักลงทุนหรือเจ้าของก็ต้องมาคอยดูแลกิจการของตนอยู่ดี มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะผู้บริหารจะทำกิจการให้กำไรไม่ดีเท่าที่ควรก็ในเมื่อไม่ใช่กิจการของเขา และถ้าปัญหาต่าง ๆ พวกนี้ไม่เกิดขึ้น
        การลงทุนซื้อที่ดินหรือทำอสังหาริมทรัพย์ก็ต้องใช้เงินมาก น้อยคนนักที่จะใช้เงินส่วนตัวมาทำธุรกิจนี้ได้เลย บางคนก็ต้องกู้เงินธนาคารมา บางคนก็ต้องรวมเงินกับเพื่อนกับญาติพี่น้องมา ไหนจะเรื่องหนี้สินกับธนาคารหรือปัญหากับหุ้นส่วนผู้ร่วมลงเงินกับเรา ปัญหาที่แน่ ๆ ที่เกิดขึ้นก็คือปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ทรัพย์สินเหล่านี้แปลงเป็นเงินได้ยากลำบากมากเมื่อเทียบกับหุ้น แม้จะเทียบกับหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ ๆ ก็ตาม หายากมากที่จะเจอหุ้นที่ตลอดอาทิตย์ไม่มีคนมาตั้งซื้อหุ้นเลย เว้นแต่หุ้นนั้นแย่จริง ๆ         
        ถ้าเราจะทำธุรกิจส่วนตัวดูบ้าง ถ้าเป็นธุรกิจSMEแน่นอนเจ้าของธุรกิจก็ต้องลงมาบริหารดูแลกิจการของตนเองแม้ว่าจะมีลูกจ้างก็ต้องบริหารการทำงานของลูกจ้าง
        เราลองมาพิจารณาในเรื่องของการลงทุนในตราสารทางการเงินดูบ้าง เริ่มจากตั๋วเงินฝาก ฝากประจำ ฝากออมทรัพย์ หุ้นกู้ ในความคิดเห็นส่วนตัวของผมมองว่า จริงอยู่มันแทบไม่มีความเสี่ยงใด ๆ เลย แต่ผลตอบแทนมันน้อยมากไม่เกินร้อยละ 4 ต่อปี หรืออย่างมากก็ร้อยละ 5 ต่อปี ค่อนข้างใกล้เคียงกับระดับอัตราเงินเฟ้อ เป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าจริง ๆ เว้นแต่ต้องการเป็นที่พักเงินเพื่อรอจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมที่ให้ผลตอบแทนที่หอมหวาน
         ถ้าลองมาพิจารณาในการลงทุนในหุ้นดูบ้าง ผมว่าน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ถ้าสมมุติเราเจอบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่งทำกำไรในปีที่แล้วได้ 183.74 ล้านบาท รายได้ปีที่แล้ว 910.48 ล้านบาท ปันผลปีที่แล้วคำนวณได้ 156.8 ล้านบาท ทั้งหมดนี้มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ราคาตลาดของบริษัทนี้หาจากจำนวนหุ้นทั้งหมดคูณกับราคาหุ้นในตลาดได้ 1,666 ล้านบาท ถ้าใช้เงินดังกล่าวก็ซื้อบริษัทได้ทั้งบริษัท(แต่ในความเป็นจริงถ้าจะทำได้ต้องใช้เงินมากกว่านั้นเพราะผมคิดว่าเจ้าของผู้ถือหุ้นใหญ่ก็คงไม่อยากจะขาย) มาดูด้านเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นดูบ้าง เงินสดมีอยู่ 159.45 ล้านบาท เงินลงทุนระยะสั้น 223.76 ล้านบาท ผมดูในหมายเหตุประกอบงบการเงินแล้วพบว่า เงินลงทุนระยะสั้นประกอบด้วยเงินฝากประจำ ตั๋วแลกเงิน หน่วยลงทุน ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องของการบริหารเงินจึงอนุมานให้มีค่าเทียบเท่าเงินสดได้ รวมแล้วมีเงินสด 383.21 ล้านบาท สำหรับภาระหนี้สินที่สำคัญมีเงินกู้ยืมระยะสั้นจากสถาบันทางการเงินจำนวน 117.58 ล้านบาท หนี้ระยะยาวไม่มี หักลบแล้วเหลือเงินสด 265.53 ล้านบาท ตอนนี้เงินลงทุนที่ลงไป 1,666 ล้านบาทจึงเหลือเพียงแค่ประมาณ 1,400 ล้านบาท เพราะได้เงินสดที่มีในบริษัทมาครอบครองทันทีที่ซื้อบริษัท
         ถ้าบังเอิญผมมีเงินค่อนข้างน้อยสมมุติลงทุนซื้อกิจการตัวนี้ในรูปของหุ้นจำนวน 140,000 บาท ผมน่าจะได้กำไร 18,374 บาทต่อปี ธุรกิจนี้น่าจะสร้างรายได้ให้ 91,048 บาทต่อปี ในระหว่างลงทุนน่าจะมีเงินปันผลคืนกลับมา 15,680 บาท พิจารณาผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ถ้าลงทุนธุรกิจนี้จะได้กำไรคืนทุนโดยใช้เวลาประมาณ 7 ปีกว่า ๆ ได้เงินปันผลร้อยละ 11.2 ต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มว่ากิจการจะมีผลการดำเนินงานดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้การันตีถึงผลการดำเนินงานในอนาคต (ตัวเลขกำไร รายได้ เงินปันผล ได้จากการเทียบอัตราส่วน)
        ตอนนี้ผู้อ่านคิดว่าน่าจะลงทุนในหุ้นที่ดีหรือยังครับ การลงทุนในหุ้นนักลงทุนสามารถนำเงินออกจากหุ้นได้ทันที ทันทีที่พบว่ากิจการนั้น ๆ มีปัญหา ผิดกับทำธุรกิจส่วนตัวทันทีที่พบว่ากิจการนั้นมีปัญหาการโยกเงินหนีไม่ใช่เรื่องง่ายนัก การลงทุนในหุ้นนั้นใช้เงินเริ่มต้นน้อยมากและสภาพคล่องสูงเมื่อเทียบกับการลงทุนอื่น ๆ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเข้ามาลงทุนหรือถอนตัว
        หรือถ้าผู้อ่านยังชอบที่จะลงทุนในกิจการส่วนตัว ลงทุนอย่างอื่นก็ไม่เป็นไรก็สามารถลงทุนในหุ้นได้ด้วยเหตุผลที่กล่าวข้างต้นและถ้านักลงทุนลงทุนอย่างถูกวิธี การลงทุนในหุ้นจะเปรียบเสมือนการให้เงินทำงานแทนเราอย่างแท้จริง โดยที่ผู้ลงทุนใช้ชีวิตไปตามเดิมของตนได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น